(Intexcel) เรียนแพทย์ที่จีน ได้อะไรบ้าง ต่างจากเรียนแพทย์ที่ไทยอย่างไร 🇨🇳

เรียนแพทย์ที่จีนได้เรียนอะไรบ้าง แตกต่างจากเรียนแพทย์ที่ไทยอย่างไร

สวัสดีค่ะขอแนะนำตัวกันอีกรอบนะคะ ชื่อ พี่อู๋ แพทย์หญิง ศุภัสรา มุทานนท์ ค่ะ จบจาก Fudan university, Shanghai, China ซึ่งเป็นหลักสูตรแพทย์อินเตอร์มหาลัยท็อปของจีนและระดับโลกเลยค่ะ สำหรับใครที่กำลังมองหาการเรียนแพทย์ในต่างประเทศอยู่ก็อยากจะแนะนำฝากพิจารณาการเรียนแพทย์ที่จีนที่มหาลัยนี้ไว้ด้วยค่ะ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน ใครที่อยากทราบเหตุผลและวิธีการสมัครต่างๆสามารถ คลิ๊กได้ที่ลิ้งค์นี้นะคะ

https://www.ecinspiration.com/article/intexcel-doctor-in-china-qualification-scholarship/

ส่วนใครที่กำลังลังเลอยู่ว่า เอ๊ะ เรียนแพทย์ที่จีนเป็นยังไง จะได้เรียนอะไรบ้าง ดีจริงๆมั้ย? ต่างกับที่ไทยอย่างไร วันนี้พี่อู๋จะมาเล่าให้ฟังทั้งหมดเลยเพื่อประกอบการตัดสินใจ หรือใครที่กำลังลังเลอยู่มากๆก็สามารถทักเข้ามาคุยส่วนตัวได้เหมือนกันนะคะ 😊 Line: supassara.mutanon

หลักสูตร Bachelor of Medicine and the Bachelor of Surgery (MBBS) ที่ Fudan University จะมีทั้งหมด 6 ปีการศึกษาเหมือนที่ไทยเลยค่ะ แบ่งเป็น Pre-Clinical Year (ปี 1-3) และ Clinical Year (ปี 4-6)  โดยรวมพี่อู๋ว่าการเรียนแพทย์ หนักจริง แต่ไม่ได้ยาก ใช้วินัยและความพยายามสูง

Pre-Clinical Year (ปี 1-3)

ปี 1
เรียนเหมือน ม.ปลาย ยังพอมีเวลาให้สนุกได้

  • นักศึกษาแพทย์จะได้เรียนรวมกันที่ Handan Campus (邯郸市) (หัน-ตัน) เรียนวันจันทร์-ศุกร์ตั้งแต่ 08.00-16.00 น. วิชาเหมือนได้ทบทวน ม.ปลายซ้ำอีกครั้ง ยังไม่เจอวิชาเฉพาะของแพทย์โดยตรง
     
  • ตัวอย่างวิชาเรียน เช่น ฟิสิกส์ (Physics) เคมี (Chemistry) ชีวะ (Biology) Science) แคลคูลัส (Calculus) คอมพิวเตอร์ (Computers) ภาษาจีน (Chinese I), China Survey I-II ส่วนวิชาเลือกปีนี้ พี่อู๋ลงเป็น Introduction to Buddhism, Energy and Environment Chinese และ Calligraphy ไปเพราะได้ยินมาว่าง่ายสุดแล้ว 555
     
  • สรุปภาพรวมปี 1 สำหรับคนที่มีพื้นฐานดีอยู่แล้วจะเป็นปีที่สบายๆชิวๆเลยค่ะ แต่อาจจะยากสำหรับคนที่ไม่ถนัดวิชานั้นๆ และก็ถือว่าเป็นปีที่มีเวลาให้ปรับตัวและใช้ชีวิตมากที่สุดแล้ว พี่อู๋เลยอยากแนะนำให้ออกไปทำกิจกรรม พูดคุยกับเพื่อนคนจีนเยอะๆ เพื่อฝึกภาษา จะช่วยให้ใช้ชีวิตในประเทศจีนง่ายขึ้นค่ะ

ปี 2
เริ่มต้องจำสิ่งใหม่ๆ ไต่ระดับความละเอียด

  • ปีนี้เราจะได้ย้ายไปเรียนที่ Fenglin Campus (เฟิง-หลิน) ซึ่งเป็นแคมปัสที่รวมคณะสายแพทย์ เภสัช พยาบาล ฯลฯ และอยู่ติดกับหลายโรงพยาบาลค่ะ หลักๆ ปีนี้เราจะได้เรียนความผิดปกของเซลล์ เรียน Anatomy มีผ่าอาจารย์ใหญ่ และเข้าสู่การเรียนภาษาจีนสำหรับแพทย์ (Medical Chinese II) แต่ยังจำแค่ส่วนสำคัญๆ อย่างพวกกระดูกชิ้นใหญ่ๆ กระเพาะอาหาร ชื่อโรค ฯลฯ 
     
  • เทอม 1 เรียนวิชา Medical Chinese II, Cell Biology, Medical Genetics, Systematic Anatomy, Histo Embryology ส่วนวิชาเลือกอู๋ลงเป็น Molecular Biology of Cancer
     
  • เทอม 2 เรียนวิชา Medical Chinese II, Physiology, Immunology, Regional Anatomy, Experiment in Biochemistry, Biochemistry

 

  • สรุปภาพรวมปี 2  เป็นปีที่ทุกคนความรู้เบสิกเท่ากันใหม่หมด มีการเรียนเนื้อหาแพทย์ต่างๆที่จำเป็น ซึ่งเป็นปีที่วัดว่าเราชอบแพทย์จริงๆมั้ยเลยก็ว่าได้ แต่เนื้อหาก็แค่เพิ่งเริ่มเท่านั้นนะคะ ปีนี้ก็ยังมีเวลาว่างอยู่บ้างเรียนไม่ได้หนักมากเท่าไหร่ ยังมีเวลาได้ไปเที่ยว ไปหา Connection

 

ปี
ความสนุกเริ่มหดหาย

  • เข้าสู่เนื้อหาแพทย์ล้วนๆ จำเรื่องความผิดปกติของร่างกาย ชื่อโรคต่างๆ มีเข้า Lab (+ เขียน Lab Report) มีฝึกงานที่แผนกสูตินารีเวชที่ประเทศจีน เป็นวิชา Elective รวมถึงมีการสอบที่เข้นข้นขึ้นและต้องเริ่มวางแผนชีวิตตัวเองในอนาคตแล้วว่าจะไปทางไหน กลับไปทำงานที่ไทยมั้ยหรืออยากอยู่ที่ต่างประเทศ
  • เทอม 1 เรียนวิชา Medical Microbiology, Pathology, Human Parasitology (พยาธิในคน), Pathophysiology
  • เทอม 2 เรียนวิชา Pharmacology, Experiments of Functional Science, Diagnostic

สำหรับพี่อู๋ปีนี้หนักสุดที่เรียนมาทั้งหมด 6 ปี เพราะต้องสอบทั้งของมหาวิทยาลัยและสอบใบประกอบโรคศิลป์ที่ไทย ตอนนั้นอ่านเองหมดเพราะตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ลงเรียน // สุดท้ายก็ผ่านค่า เย้!

ข้อสอบของไทยจะ based on U.S. เราอ่านไปสอบรวดเดียวได้เลย และหลักสูตรจีนกับไทยก็คล้ายกัน แต่ต้องอ่านเพิ่มบางส่วน เช่น พวกชื่อยา ที่จีนจะเป็นสมุนไพรของจีนเลย หรือ ประเทศไทยจะจำแนกพยาธิละเอียดและมีเคสบ่อยกว่า มีโรคประจำถิ่นของแต่ละประเทศ โรคเขตร้อน เป็นต้นค่ะ ซึ่งการสอบตรงนี้มีหลายคนมากเลยค่ะที่มีปัญหา แต่พี่อู๋มีแนวข้อสอบมีหนังสือเพียบเลยนะคะ ใครสนใจหรือเป็นน้องๆที่สมัครผ่านพี่มาก็จะได้รับการดูแลตรงจุดนี้ด้วยค่า เพราะเราเห็น Pain point อยู่ค่ะว่าทำยังไงเราถึงจะอุดรูรั่วและปัญหาตรงจุดนี้ได้

Clinical Year (ปี 4-6)

ปี 4
อ่านเยอะเหมือนเดิม แต่สัมผัสชีวิตแพทย์มากขึ้น

  • เทอม 1 เรียนวิชา Traditional Chinese Medicine (เรียนแพทย์แผนจีนแค่พื้นฐานเทอมเดียว), Internal Medicine I, Surgery I, Hygienical Statistics หรือ Biostat นั่นเองค่ะ
     
  • เทอม 2 เรียนวิชา Medical Psychology, Diagnostic Imaging (การดูฟิล์ม เช่น X-ray, MRI), Internal Medicine II, Surgery II, Preventive Medicine I
     
  • ปีนี้เราจะได้เรียนรู้โรคแบบซับซ้อนขึ้น ครึ่งเช้าเรียนเลกเชอร์ บ่ายเรียนที่โรงพยาบาล เน้นสังเกตการณ์ (Observe) + วิเคราะห์แต่ละเคส เช่น ผลแล็บ ผลเลือด ผล x-ray (แล้วแต่วิชาที่เรียน) อาจารย์อาจจะลิสต์คนไข้มาให้เราซักประวัติ ตรวจร่างกาย ดูว่าเราเจออะไรในคนไข้รายนี้บ้าง โรคที่มีโอกาสเป็น และอภิปรายกับเพื่อนๆ เกี่ยวกับแนวทางการรักษา
  • ปีนี้หลักๆที่ต่างจากนักเรียนแพทย์ที่ไทยเลยคือ ที่ไทยจะเริ่มมีการอยู่เวรแล้ว ถึงประมาณสี่ทุ่ม แต่ที่จีน เป็น Option ค่ะไม่มีการบังคับ หรือจัดตารางให้อยู่ (ซึ่งตอนนั้นส่วนตัวพี่อู๋เลือกที่จะไม่อยู่นะคะ เนื่องจากคิดว่าที่จีนคงไม่ได้ทำหัตถการกับคนไข้เยอะ)นี่ก็เป็นหนึ่งความชิวที่มีทั้งข้อดีข้อเสีย เพราะเนื่องจากถ้าเราได้อยู่เวรเราก็จะมีโอกาสได้เรียนรู้เคสหรือมีโอกาสได้ทำหัตถการมากขึ้น แต่เมื่อหลักสูตรไม่ได้บังคับ ก็เป็นจุดที่นักเรียนสามารถใช้เลือกที่จะใช้เวลาไปทำอย่างอื่นได้เช่นเดียวกันค่ะ และพลาดโอกาสในการเรียนรู้เคสไปค่ะ
     
  • ด้วยความที่พี่อู๋วางแผนจะกลับมาทำงานที่ไทยอยู่แล้ว จึงอุดช่องว่างที่จะทำให้เราขาดประสบการณ์ในการดูแลคนไข้ โดยการกลับมาฝึกงานที่ไทยแทนค่ะ ช่วงปี 4 เลยเลือก Elective ฝึกงานที่ไทยเพื่อสัมผัสระบบโรงพยาบาลในไทย (เข้าแผนกฉุกเฉิน ตรวจใน OPD) มหาวิทยาลัยจะเปิดกว้างให้เราไปฝึกงานแล้วยื่นเก็บเครดิตได้ด้วยค่ะ // ใครสนใจชมคลิปรีวิวด้านล่างนี้ตามลิ๊งค์ได้เลยค่า
  • https://www.youtube.com/watch?v=2E78saSWNdQ&ab_channel=TheLittleDoctor
  • https://www.youtube.com/watch?v=wY7uox087Og&ab_channel=TheLittleDoctor

 

ปี 5
แลกเปลี่ยนที่เคมบริดจ์ช่วงโควิด-19

  • เทอม 1 เรียนวิชา Obstetrics and Gynecology (สูติฯ), Pediatrics, Infection Diseases, Dermatology, Psychiatry, Preventive Medicine II 
     
  • เทอม 2 ช่วงนั้นเราเริ่มเจอสถานการณ์โควิด ล็อกดาวน์ Basic of Clinic Oncology, Ophthalmology, Otorhinolaryngology, Stomatology, Neurology, Forensic Medicine 

 

  • ปีนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกปีที่หนักหน่วงเนื่องจากเราจะต้องกลับมาสอบใบประกอบโรคศิลป์ขั้นตอนที่สองของแพทยสภาที่ไทยด้วย แต่ก็แอบชิวกว่าใบแรกอยู่ค่ะ พอผ่านใบแรกมาได้ก็รู้สึกว่าไม่ได้ยากเท่าไหร่ อาจจะชินกับการอ่านหนังสือและเรียนรู้เทคนิคการอ่านหนังสือแล้วก็ได้ค่ะ
     
  • เนื่องจากเป็นช่วงโควิด เราจะได้เรียนออนไลน์ทั้งหมด แต่ปีนี้จะสนุกตรงที่เราไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศได้แล้ว ก็เลยเลือกไปฝึกแผนกรังสีวิทยาของโรงพยาบาลที่ Cambridge ประเทศอังกฤษค่ะ
  • https://www.youtube.com/watch?v=tkqOMxwSgsU&ab_channel=TheLittleDoctor

 ปี
ฝึกงานที่ไทย & เรียนออนไลน์กับระบบที่โคตรล้ำ!!

เนื่องจากเป็นช่วงโควิด 19 มหาลัยมีตัวเลือกว่าเราจะ [เรียนออนไลน์] เป็นการฟังบรรยายและ Case Discussion หรือ [ฝึกงาน] ตามโรงพยาบาลในประเทศตัวเอง แล้วเอาไปยื่นเก็บหน่วยกิตกับมหาลัย นอกจากนี้ยังมีทางเลือกให้นักเรียนเลื่อนการจบไปอีก 1 ปีได้ด้วย 

ตอนนั้นพี่อู๋เลือกฝึกงานกับเรียนออนไลน์ผสมผสานกัน

  1. การฝึกงานเขาจะมีตารางให้ว่าต้องฝึกอะไรบ้าง ฝึกแต่ละ Department กี่สัปดาห์ รวมกันทั้งหมดจะมี 48 สัปดาห์ **ปีนี้สนุกตรงที่ได้ทำจริงเยอะขึ้น ตรวจและดูแลคนไข้ตามที่ได้รับมอบหมาย เราอาจจะกดดันเพราะต้องรักษาคนไข้จริงๆ แล้วนะ
  2. เรียนออนไลน์ ห้องพี่อู๋มีหลายชาติ Timezone แตกต่างกัน ที่นี่จะให้เลือกเข้าเรียนตอนที่สะดวก

    อยากแชร์ว่าระบบเรียนออนไลน์ที่ ม.ฟู่ตั้นดีมาก และโปรแกรมที่เรียนล้ำสุดยอดจำลองให้เรารู้สึกเหมือนตรวจเคสจริง ซักประวัติคนไข้จริง แล้วมีคะแนนให้ตามที่ตอบ หรือสมมติต้องตรวจร่างกาย ก็เห็นเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง ถ้าจะฟังปอด แล้วเราคลิกรูปปอด ก็จะมีเสียงปอดขึ้นมาเลยนะ แต่ต้องเลือกตำแหน่งที่ถูกต้องเท่านั้น

https://www.youtube.com/watch?v=YFYr2P9Mnzw&ab_channel=TheLittleDoctor

 

 

และนี่ก็คือหลักสูตรทั้งหมดของโปรแกรม MBBS หรือ แพทย์อินเตอร์ที่จีนนะคะ ซึ่งโดยรวมการเรียนแพทย์ที่จีน พี่อู๋ใช้คำว่าเรียนสบายกว่าที่ไทยค่ะ เนื่องจากการเข้าเวรต่างๆจะน้อยกว่าระบบที่ไทยค่ะ โดยเฉพาะปีสุดท้าย ที่ไทยคืออยู่เวรกลางคืนไม่ได้นอนและเช้าอีกวันก้ยังทำงานเป็นปกติ แต่ที่จีนถ้ามีเวรตอนกลางคืนเช้าขึ้นมาจะได้พักค่ะ ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง work life balance ที่ต่างประเทศทำกัน แต่ที่ไทยไม่มีค่ะ ซึ่งเหมาะกับคนที่ชอบความชิว เป็นคนอ่านหนังสือเองได้ มีวินัยและขยันค่ะ ส่วนเนื้อหาหลักสูตรการเรียนการสอนต่างๆโดยรวมก็เรียนหลักๆคล้ายกันทั้งหมดค่ะ การเรียนแพทย์ที่จีนพี่อู๋ว่าอาจจะยากกว่าเรียนที่ไทยตอนสอบใบประกอบโรคศิลป์ค่ะเนื่องจากของที่ไทยมีติวในสถาบันเอง แต่ของที่จีนเราต้องอ่านแนวเองไม่มีคนคอย guide ให้ค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องสอบนะคะ แต่การฝึกงานการกลับมาเก็บหัตถการต่างๆด้วยค่ะ ไม่มีใครแนะนำ เราต้องเป็นคนขวนขวายหาเองค่ะ นั่นเป็นเหตุผลที่พี่อู๋อยากจะแชร์และอยากเป็นคนไกด์น้องๆเพื่อไม่ให้เสียโอกาสต่างๆไปในฐานะคนที่มีประสบการณ์มาก่อนค่ะ

พี่อู๋ตั้งเอเจนซี Intexcel เพื่อให้คำปรึกษาน้องๆ ที่อยากเรียนต่อประเทศจีน เน้นคณะแพทย์ แต่ก็จะมีคณะอื่นของ Fudan University ด้วยค่ะ 

ทีมงาน Intexcelle ทุกคนคือรุ่นพี่ที่เรียนและจบจริงทั้งจากภาคอินเตอร์และภาคจีนของ Fudan University เรามั่นใจว่าจะเป็นช่องทางที่สามารถดูแลน้องๆ ได้ตั้งแต่วางแผนจนถึงเรียนจบ ให้ข้อมูลได้แบบทะลุปรุโปร่ง ช่วยดูแลเอกสารให้ทั้งหมดตั้งแต่ Portfolio ต้องปรับตรงไหนบ้าง, ควรโฟกัสจุดไหน,  การเขียนแนะนำตัวให้เป็นผู้ที่สมัครที่โดดเด่น ตรวจให้จนมั่นใจว่าผ่าน ไปจนถึงมีการติวสัมภาษณ์แบบจุกๆ แน่นๆ เลยค่ะ แม้กระทั่งเรื่องฝึกงานที่โรงพยาบาลไหนดี 

ถ้าน้องๆ สนใจสามารถติดต่อมาที่ Inbox เพจ Intexcel

LINE: Supassara.mutanon / เบอร์โทร 095-195-1591 ได้เลย

ทีมงานเราจะเริ่มจากช่วยวิเคราะห์และประเมินโพรไฟล์ก่อน หากมีจุดไหนที่ดูแล้วยังกังวล มีโอกาสไม่ผ่านสูง เราจะยังไม่รีบยื่นให้ค่ะ

สำหรับ YouTube Channel: Little Doctor พี่อู๋มีทำคลิปสมัคร ทุน และการเรียนแพทย์ไว้แบบละเอียด และมีคลิปที่สัมภาษณ์คนเรียนหรือเป็นแพทย์ในประเทศต่างๆ เหมาะกับน้องๆ และผู้ปกครองที่กังวลว่าบุตรหลานจบแล้วจะกลับมาทำงานที่ประเทศไทยได้มั้ย? มีกระบวนการขั้นตอนยังไงบ้าง? ฯลฯ พี่อู๋เชื่อว่าประสบการณ์ของตัวเอง และทีมงาน Intexcelle จะช่วยให้น้องๆ และผู้ปกครองอุ่นใจขึ้นได้ค่ะ 

.
.
– – – – –
.
.
สอบถามข้อมูล และ ปรึกษาการเรียนต่อที่จีนฟรี!! กับ พี่หมออู๋
🚩 #Intexcel ที่ปรึกษาการเรียนต่อในประเทศจีนจากรุ่นพี่ที่เรียนจริง!!
 
และ
 
🚩 เรียนภาษาจีน ปูพื้นฐาน ก่อนไปเรียนต่อประเทศจีน
(เนื้อหาจาก 0 / HSK345 / ALevel 87)
กับ พี่ปิง ECITutor